เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2567 เวลาประมาณ 08.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ได้รับแจ้งเหตุพบศพในป่าหญ้าริมถนนสาย นครชัยศรี-ห้วยพลู หมู่ 5 ตำบลสัมปทวน อำเภอนครชัยศรี โดยผู้เสียชีวิตเป็นหญิงวัย 47 ปี สภาพศพเน่าเปื่อย ส่วนบนของร่างกายที่จมอยู่ในร่องน้ำมีเนื้อหนังเน่าเปื่อย บริเวณลำคอมีสายชาร์จโทรศัพท์พันอยู่ ร่างกายส่วนล่างยังอยู่ในสภาพดี สวมเสื้อยีนส์ กางเกงยีนส์ขาสั้น ตรวจสอบเอกสารภายในตัวผู้ตายพบชื่อ น.ส.ฐิติรัตน์ ชาติพุทธ์ อายุ 47 ปี ชาวกรุงเทพฯ พร้อมทรัพย์สินส่วนตัวหลายรายการ
จากการสอบถามญาติผู้ตายทราบว่า ผู้เสียชีวิตหายตัวไปพร้อมรถยนต์ MG สีดำ ทะเบียน 6กฉ 7998 กทม. ตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน โดยครั้งสุดท้ายที่ติดต่อได้ ผู้ตายได้ขับรถออกจากบ้านในกรุงเทพฯ เพื่อรับผู้โดยสารและมุ่งหน้าไปยังจังหวัดนครปฐม หลังจากนั้นไม่สามารถติดต่อได้ ญาติได้โพสต์ขอความช่วยเหลือตามหาผู้หายและรถยนต์ผ่านโซเชียลมีเดีย
เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่าผู้เสียชีวิตน่าจะถูกลวงมาฆ่าโดยผู้ที่แสร้งทำตัวเป็นผู้โดยสาร โดยมีจุดประสงค์เพื่อชิงทรัพย์และรถยนต์ ล่าสุดมีความคืบหน้าเมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจพบสัญญาณ GPS ของรถยนต์คันดังกล่าวที่จังหวัดภูเก็ต กล้องวงจรปิดสามารถจับภาพรถยนต์ได้ขณะวิ่งผ่านถนนเทพกระษัตรีในอำเภอถลาง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เร่งติดตามเบาะแสเพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีโดยเร็ว
การวิเคราะห์
จากการตรวจสอบและวิเคราะห์เหตุการณ์นี้ เห็นได้ชัดว่ามีลักษณะของการจงใจลวงเหยื่อเพื่อก่อเหตุอาชญากรรม ซึ่งแสดงถึงการวางแผนที่ซับซ้อน โดยเลือกเหยื่อที่ประกอบอาชีพขับรถ ซึ่งมีความเสี่ยงเนื่องจากต้องพบเจอผู้โดยสารที่ไม่รู้จักบ่อยครั้ง ผู้ก่อเหตุมีเจตนาที่จะชิงทรัพย์อย่างชัดเจนจากการที่รถยนต์ของผู้เสียชีวิตถูกขโมยและพยายามหลบหนีไปยังจังหวัดอื่น อย่างไรก็ตาม การใช้เทคโนโลยี เช่น GPS และกล้องวงจรปิด ช่วยให้การติดตามคดีเป็นไปอย่างรวดเร็ว
กรณีนี้ยังสะท้อนถึงความสำคัญของความปลอดภัยในการทำงานที่ต้องมีการพบเจอคนแปลกหน้า โดยเฉพาะผู้ที่ประกอบอาชีพขับรถรับส่งผู้โดยสาร ซึ่งการติดตั้งระบบ GPS หรือกล้องในรถสามารถช่วยป้องกันเหตุอาชญากรรมได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ ยังต้องมีการพัฒนาระบบการแจ้งเตือนบุคคลสูญหายและการสื่อสารกับผู้เกี่ยวข้องอย่างทันท่วงที
