รับทำเว็บ/SEO/Google Ads.พร้อมดูแล Click👉

สามีเก่าหึงโหด! ง้อเมียไม่สำเร็จ รู้มี “สามีใหม่” บุกบ้านยิงดับ 4 ศพ ก่อนปลิดชีพตัวเอง

108

ข่าวเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นในจังหวัดขอนแก่น เมื่อสามีเก่าตามง้อภรรยาไม่สำเร็จและใช้ความรุนแรงจนเกิดการสูญเสียชีวิตหลายราย เป็นเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงปัญหาความรุนแรงในครอบครัวที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในสังคมไทย สาเหตุของความรุนแรงในครั้งนี้เกิดจากความหึงหวงและไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ หลังจากที่ทราบว่าอดีตภรรยามีความสัมพันธ์ใหม่ ส่งผลให้ชายผู้ก่อเหตุขาดสติและตัดสินใจใช้ปืนเพื่อแก้ปัญหา โดยการกระทำนี้ไม่ได้เพียงแต่ทำร้ายผู้อื่น แต่ยังทำลายชีวิตตนเองในที่สุด

วันที่ 21 ก.ย. 2567 มีรายงานว่า เกิดเหตุคนใช้อาวุธปืนยิงกันเสียชีวิตที่บ้าน ต.โพนเพ็ก อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น โดยที่เกิดเหตุพบศพ นายพลพิพัฒน์ ทองยศ อายุ 18 ปี นอนเสียชีวิตอยู่ในห้องน้ำ มีร่องรอยถูกยิงที่บริเวณศีรษะ และภายในห้องนอนพบศพ นางจรวยพร แฝงฤทธิ์ อายุประมาณ 50 ปี, น.ส.คลิตา แฝงฤทธิ์ อายุ 20 ปี, นายนพดล อันทักษะ อายุประมาณ 40 ปี

การยิงภรรยา แม่ยาย และญาติของภรรยา เป็นการแสดงออกถึงการใช้อำนาจและความต้องการควบคุมความสัมพันธ์ด้วยวิธีที่ผิด ในสังคมไทย ความสัมพันธ์ในครอบครัวมักถูกมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบร้ายแรงที่เกิดขึ้นเมื่อการแก้ปัญหาความสัมพันธ์ใช้ความรุนแรงและอารมณ์เป็นที่ตั้ง

ทั้งนี้ สาเหตุเบื้องต้นทราบว่า นายนพดล เป็นอดีตสามี น.ส.คลิตา ได้ติดตามมาง้อขอคืนดี ต่อมาทราบว่า น.ส.คลิตา มีสามีใหม่จึงได้เกิดความหึงหวง โดยใช้อาวุธปืนยิง นางจรวยพร แม่ยาย, น.ส.คลิตา อดีตภรรยา และนายพลพิพัฒน์ ญาติของอดีตภรรยา จนถึงแก่ความตาย

หลังจากนั้น นายนพดล ได้ใช้อาวุธปืนยิงตัวเองตายตาม โดยในห้องนอนที่พบศพนั้นมี ด.ญ.ไอจี อายุ 2 ปี บุตรของนายนพดล และ น.ส.คลิตา ยืนตัวสั่นด้วยความตกใจ

ในข่าวยังมีภาพสะท้อนที่น่าเศร้า เมื่อเด็กหญิงวัย 2 ขวบ ลูกของผู้ก่อเหตุ ต้องอยู่ในเหตุการณ์และเห็นการกระทำที่รุนแรง ซึ่งจะส่งผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรงในระยะยาว เหตุการณ์นี้ควรเป็นการเตือนสังคมให้ตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการปัญหาครอบครัวและการสร้างระบบสนับสนุนสำหรับผู้ที่ประสบปัญหาในความสัมพันธ์

นอกจากนี้ ข่าวนี้ยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการให้คำปรึกษาและการเยียวยาทางจิตใจสำหรับผู้ที่อยู่ในสถานการณ์คล้ายกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ร้ายแรงเช่นนี้อีกในอนาคต การให้ความสำคัญกับการให้ความช่วยเหลือด้านจิตใจ และการให้การสนับสนุนทางสังคมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยลดความรุนแรงในครอบครัวและในสังคม

การแก้ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและสังคมเป็นเรื่องที่ต้องใช้แนวทางแบบบูรณาการ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน นี่คือแนวทางหลักที่สามารถนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาความรุนแรง:

1. การสร้างความตระหนักรู้และการให้การศึกษา

  • ให้การศึกษาเรื่องความรุนแรงในครอบครัว: สร้างความเข้าใจในสังคมว่า ความรุนแรงไม่ใช่เรื่องส่วนตัวที่ต้องเก็บไว้ แต่เป็นปัญหาสังคมที่ต้องได้รับการแก้ไข มีการรณรงค์และให้ความรู้ผ่านสื่อ การศึกษาในโรงเรียน และการอบรมในที่ทำงาน
  • เสริมสร้างการจัดการอารมณ์: สอนการจัดการอารมณ์และความเครียดตั้งแต่ในโรงเรียน เพื่อให้คนเรียนรู้วิธีแก้ไขปัญหาโดยไม่ใช้ความรุนแรง

2. ระบบสนับสนุนสำหรับผู้ประสบปัญหา

  • จัดตั้งสายด่วนและศูนย์ให้คำปรึกษา ควรมีสายด่วนที่ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมให้คำปรึกษาและความช่วยเหลือสำหรับผู้ที่ประสบความรุนแรงในครอบครัว โดยควรมีทั้งการให้คำปรึกษาทางจิตใจและการให้คำแนะนำทางกฎหมาย
  • สถานที่พักพิงฉุกเฉิน: สร้างศูนย์พักพิงฉุกเฉินสำหรับผู้ที่ประสบปัญหาความรุนแรงในครอบครัว เพื่อให้พวกเขามีที่ปลอดภัยในการหลบหนีจากสถานการณ์ที่อันตราย

3. การส่งเสริมการบำบัดและการฟื้นฟู

  • การให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยา ผู้กระทำความรุนแรงควรได้รับการบำบัดทางจิตใจ เพื่อช่วยให้พวกเขาเรียนรู้วิธีจัดการอารมณ์และความขัดแย้งโดยไม่ใช้ความรุนแรง
  • การบำบัดและฟื้นฟูเหยื่อ: ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงต้องได้รับการฟื้นฟูทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ผ่านการให้คำปรึกษาและการดูแลทางการแพทย์

4. กฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด

  • บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงในครอบครัว ปรับปรุงและบังคับใช้กฎหมายให้เข้มงวดขึ้น เพื่อปกป้องผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจากความรุนแรง และลงโทษผู้กระทำผิดอย่างเหมาะสม
  • เพิ่มบทลงโทษที่เหมาะสม: กำหนดโทษที่หนักขึ้นสำหรับการกระทำความรุนแรง เพื่อให้เป็นการยับยั้งไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำ

5. การสร้างความร่วมมือในชุมชน

  • การสนับสนุนจากชุมชน ชุมชนควรมีบทบาทในการช่วยเหลือผู้ที่ประสบปัญหาความรุนแรง ด้วยการสร้างเครือข่ายความช่วยเหลือในท้องถิ่น รวมถึงการให้คำปรึกษาและสนับสนุนทางสังคม
  • การสร้างพื้นที่ปลอดภัยในชุมชน: ชุมชนควรมีสถานที่หรือกลไกสำหรับให้คำปรึกษาและรับแจ้งเหตุต่าง ๆ เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดความรุนแรง

6. การฝึกอบรมสำหรับบุคลากรที่เกี่ยวข้อง

  • การฝึกอบรมตำรวจและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง บุคลากรทางกฎหมายและเจ้าหน้าที่ตำรวจควรได้รับการฝึกอบรมในการจัดการปัญหาความรุนแรงในครอบครัวอย่างละเอียดและเหมาะสม เพื่อให้การตอบสนองต่อเหตุการณ์เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

7. การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาแนวทางใหม่

  • วิจัยเกี่ยวกับปัจจัยที่ทำให้เกิดความรุนแรง การวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับปัจจัยที่นำไปสู่ความรุนแรงจะช่วยให้เกิดการพัฒนาแนวทางป้องกันและแก้ไขที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

สรุป

การแก้ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและสังคมต้องการความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งการให้การศึกษา การบำบัดฟื้นฟู และการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด หากทุกคนในสังคมมีส่วนร่วม ความรุนแรงสามารถลดลงและสร้างความปลอดภัยในครอบครัวและชุมชนได้อย่างยั่งยืน